Life is short then do what brings happiness to life.ชีวิตเราสั้น อะไรทำแล้วมีความสุข ก็ทำไป

เรื่องราวที่เขียนในบล๊อกเป็นประสบการณ์ และชิวิตประจำวันของโอ้ทเอง เขียนไว้เป็นบันทึก เก็บไว้อ่านย้อนหลังเมื่อวันเวลาผ่านไป ซึ่งเอากลับมาไม่ได้ หากสิ่งที่เขียนเป็นประโยชน์กับบางคน หรือหลายคนด้วยก็ดีใจ ขอบคุณผู้อ่านทุกคนค่ะ

Friday, June 12, 2009

ทำงานครบ 3 สัปดาห์...ลาออก

วันนี้ ทำงานครบ 3 สัปดาห์ ตัดสินใจลาออกเนื่องจากไม่ไหวแล้วจริงๆ สัญญากะดารินว่าจะลองทำต่ออีก 2 สัปดาห์ แต่ทำไม่ได้แล้ว หงุดหงิด เลยพลานกดดัน ทำให้ไม่สนุกกับงานเลย เรื่องราวมีอยู่ว่า

 เมื่อเริ่มงานสัปดาห์แรก เป็นการเรียนรู้ นายจ้างบอกอะไร สอนอะไรก็ทำตามทุกอย่าง สัปดาห์ที่สอง เริ่มหงุดหงิดเล็กน้อยเพราะนายจ้างยังบอกเหมือนเดิม จับแปรงจับที่ปาดน้ำก็ต้องทำให้เหมือนเขาน่ะ ก็คิดว่าเราคงยังทำไม่ดี ก็ปรับปรุง แต่จะมีปัญหาแปรงอันใหญ่จับตามที่นายจ้างบอกจะปวดแขน และต้องฝืนน้ำหนักของแปรงเพราะไม่ถนัดตอนปาดน้ำบนกระจก เราก็พยายามหาวิธิที่ทำให้เร็วและเช็ดกระจกให้สะอาด แต่นายจ้างซิคอยดูตลอดว่าเราจับเหมือนที่เขาบอกหรือเปล่า ครั้ง สองครั้งไม่เท่าไร แต่บ่อยเกินไป เริ่มปวดหัวเล็กๆ เนื่องจากกดดัน เพราะเราไม่โต้ตอบ รับคำว่าตกลง แล้วก้มหน้าก้มตาทำไป

มาเมื่อวันศุกร์ที่แล้วหนักสุด จี้มาก จนเราทำอะไรไม่ถูกเพราะคิดว่าจะต้องไม่ถูกใจนายจ้างอีกแน่ ๆ เลยยืนเฉย ๆ ซะเลย นายจ้างคงหงุดหงิด แต่ดุเราไม่ได้มั้ง เขาก็บอกให้เราเดินเช็ดรอยน้ำ ให้รอบร้านลูกค้าที่เราเช็ดกระจกไว้ เป็นร้านสุดท้ายของวันนั้นพอดี

ระหว่างนั่งรถกลับคิดว่าจะพูดดีหรือไม่พูดดี แต่ถ้าไม่พูดแล้วไม่กลับมาทำงานอีกไม่ใช่สิ่งที่เราทำ ตัดสินใจพูดไปว่าทำงานหงุดหงิดมาก อะไรที่เขาบอกก็ทำทุกอย่างแต่เมื่อมันไม่ถนัดก็หาวิธีให้ถนัดแต่ก็ดูเหมือนจะทำให้ไม่ถูกใจ เลยทำให้งานช้า อีกอย่างด้านที่จะเริ่มเช็ดก็ไม่รู้จะไปซ้ายหรือขวาก่อน ถามเขาไปว่ามีเกณฑ์ไหมว่าจะต้องเริ่มด้านไหน เขาบอกว่าให้ทำคนละด้าน(เขาจะทำด้านใน เราทำด้านนอกแล้วให้เช็ดด้านตรงข้ามกัน เช่นถ้าเขาเช็ดซ้าย ให้เราเช็ดขวาจะได้ไม่ซ้อนกันนั่นเอง) เพราะถ้าทำด้านเดียวกันดูน้ำลำบากว่าด้านไหนเช็ดไม่หมด และไม่ให้เริ่มตรงกลาง เราย้อนไปว่า ตั้งแต่เขาบอกคราวแรกก็ไม่เคยเริ่มตรงกลาง ส่วนด้านเริ่มไม่ให้ตรงกัน เพิ่งจะมาบอกสัปดาห์ที่ 3 แล้วฉันจะรู้ไหมล่ะ พอจะเริ่มด้านไหน เขาก็จะมาบอกให้ไปอีกด้านทุกที จากนี้ไปก็รู้แล้วล่ะ เขาเคยบอกว่าต้องทำแบบนี้น่ะ

นี่เป็นอีกอย่างที่ต้องคิด ก็ตอบรับทราบไป แต่ในใจคิดว่า กรูก็คิดได้ แล้วลองแล้ว แต่มันไม่ถนัดนี่หว่า แต่สรุปว่าที่คุยกันทั้งหมดเขาก็เสียงดังข่มประมาณว่าให้เราหยุดพูด เลยหยุดตามที่เขาต้องการแหละเพราะพูดไปก็เหนื่อยเปล่า เขาคิดว่าเราไม่พอใจตัวเองที่ทำงานช้า ไม่ได้ดีก็ให้เขาคิดไป

พักผ่อนเสาร์ อาทิตย์ กลับไปทำใหม่



เริ่มวันแรกสัปดาห์นี้ สบายใจทั้งวัน ไม่บอก ไม่จี้ ค่อยดีหน่อย แต่....ก่อนจะเลิก 1 ชั่วโมง เริ่มอีกแล้ว เราก็จี๊ดขึ้นอีก แต่ก็ยังรับคำ"ได้ ๆ ตกลง" แล้วก็ก้มหน้าก้มตาทำไป แต่ไม่ยิ้มเลย เสร็จงานนั่งรถกลับ นายจ้างถามว่าทำไมไม่ยิ้มเหมือนตอนแรก ๆ เลย นึกในใจว่า กรูหงุดหงิดจะยิ้มได้ไง ฟะ..หยุด 1 วันไปเรียนปั้น

เริ่มไปทำอีกวัน วันนี้จี้เหมือนเดิมเลย จนทนจะไม่ไหว ตัดสินใจจะเลิกทำเด็ดขาด แต่ทนทำให้หมดวัน

วันต่อมาฝนตกไม่ทำเพราะลูกค้าไม่ชอบให้เช็ดกระจกตอนฝนตก เลยได้พัก ตั้งใจไว้พรุ่งนี้อีกวัน ถ้าไม่ดีขึ้นก็ไม่ทำต่อแล้ว

ก่อนหน้าคุยกะดารินแล้วว่าไม่อยากทำแล้ว ตามรายละเอียดที่เล่ามา ดารินให้ลองอีก 2 สัปดาห์ ถ้าไม่ดีขึ้นก็ไม่ว่ากัน แต่วันนี้กลับมาบอกดารินว่า จบกันแล้วนะไม่ไปอีกแล้ว ดารินบอกว่า บอสก็เป็นแบบนี้ทั้งนั้นแหละ ทำงานอื่นก็ต้องเจอเหมือนเดิม แต่เราก็ตอบไปว่า มั่นใจว่ามีบอสบางคนที่ไม่มาจี้ว่าต้องทำอย่างนี้ ทุกกระเบียด แต่จะบอกงานให้ทำแล้ว ปล่อยให้ทำไปให้ได้ผลงานออกมา

วันนี้ทำงานเงียบมาก ให้ทำอะไร แบบไหน ทำหมด แถมนายจ้างลืมอุปกรณ์ไว้ที่ไหนก็ไม่รู้ด้วย ไปหาแล้วไม่เจอ จะฟังหุ้นวิทยุก็มีเสียงอื่นแทรกอีก เขาบอกว่าเป็นวันไม่ดีของเขา

เสร็จงานระหว่างนั่งรถกลับเราบอกไปว่าไม่มาแล้วน่ะ เขาคิดว่าเราหมายถึงไม่ทำต่อแล้ววันนี้ เพราะมีอีกร้านนึงลืมไปทำ เราตอบว่าไม่ใช่ หมายถึงไม่มาถาวร เหนื่อย ทำงานก็ไม่ดีขึ้น หงุดหงิดมาก ๆ

เขาตอบมาว่าเราคิดผิด เราทำงานดีขึ้นเรื่อย ๆ ทำไปเรื่อย ๆ ไม่เห็นต้องหงุดหงิดเลย งานแทบไม่ได้ทำมากเพราะนั่งอยู่ในรถมากกว่า (ต้องขับตระเวนไปตามศูนย์การค้าเพื่อเช็ดร้านต่าง ๆ) เขาว่าไม่ใช่งานแน่ ๆ ที่ทำให้หงุดหงิด ให้ไปคิดใหม่ตัดสินใจด่วนอย่างนี้ไม่ถกต้อง เราบอกไปว่าตัดสินใจมาอาทิตย์แล้ว คุยกะดารินแล้วด้วย นึกในใจจะพูดไปดีไหมว่าเพราะคุณนะแหละ แต่ไม่พูดดีแล้ว เพราะแค่บอกเลิกทำเขายังขับรถเกือบจะชนคันอื่นถ้าบอกไปสงสัยจะโดนตะหวาด แล้วปล่อยลงข้างทางเปล่ามะรู้น้อ

นายจ้างบอกว่าถ้าจะกลับมาทำอีกวันจันทร์ให้โทรบอกคืนวันอาทิตย์ แต่ถ้าไม่มาแน่นอน ก็ไม่ต้องโทร


ถึงบ้านบอกดาริน ทำตามที่รับปากไว้ไม่ได้แล้ว ทนไม่ไหวแล้วล่ะ เงินน่ะอยากได้อยู่ แต่แบบนี้ขอเลิกดีกว่า





จบกัน งานแรก ไม่ถึงเดือน

Thursday, June 11, 2009

โดนใบสั่งครั้งแรก...

เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา โดนจับ ขับเร็วเกินกำหนด ตำรวจโผล่มาจากไหนไม่รู้แต่เห็นด้านหลังกระพริบไฟ รู้เลย แล้วก็ไม่รีบมาคุยกะเราน่ะ คุยโทรศัพท์อยู่นาน โอ้ทยิ่งสาย เลยสายหนัก โทรบอกนายจ้าง เขาไม่ว่าไร

หลังจากตำรวจเอาใบจดทะเบียนรถ ใบขับขี่ไปดูสักพัก เสร็จสรรพมาบอกว่า เรานี่โชคดีน่ะ เกินไป แค่ 25 ไม่โดนยึดใบขับขี่ ไม่ต้องขึ้นศาล แต่ให้ส่งเงินค่าปรับไป โดนไป $60.60

หลังเลิกงานกลับถึงบ้าน วางใบสั่งไว้ให้ดารินเห็น คุณกลับมาโบกใหญ่ อะไรเอ่ย แล้วก็ขำ โอ้ทบอก แหม ไม่ได้ซิ ก็สามีนักซิ่ง โดนไปแล้ว 3 ใบ จะน้อยหน้าได้ไง

ปกติแล้วโอ้ทจะขับรถระวังเรื่องความเร็ว ไม่ให้เกินและไม่ค่อยจะขับเร็วด้วย กลัวเพราะคนที่นี่ขับรถกันเร็ว และไม่ค่อยสนใจคนร่วมถนน แต่วันนี้สายมาก ๆ และอาจเป็นคราวที่จะมีประสบการณ์มาเขียนก็ไม่รู้
จะได้รู้ไว้ว่าโดนตำรวจเรียกเขาต้องทำอะไรบ้าง ดีนะนี่ที่ไม่ต้องไปศาล ไม่เช่นนั้นคงเดือดร้อนดารินลางานพาไปอีกเพราะ ไม่มั่นใจว่าจะฟังศาลเข้าใจทั้งหมด




Tuesday, June 2, 2009

เกือบไปแล้ว...

อาทิตย์ที่ 10 พฤษภาคม 2552

วันนี้มีเรื่องตื่นเต้นไม่บันทึกไม่ได้แล้ว เหตุเกิดเมื่อตี 3 ตกใจตื่นกัน เกือบทั้งบ้าน (2 คน อีกคนหลับ) เพราะได้ยินเสียงดังสนั่น รีบวิ่งลงมามิสเตอร์เปิดทีวีดังอีกแล้ว (วันสุดสัปดาห์มิสเตอร์จะดื่มและเมาหลับหน้าทีวีจนดึกถึงสว่าง) ปรากฎว่าปิดเสียงทีวีแล้ว เสียงปัญหายังไม่เงียบ เข้าไปดูในครัว ตกใจมาก! ควันโขมง หม้อไหม้อยู่บนเตาน่ะซิ คุณสามีต้มน้ำจะทำมักกะโรนี แต่หลับไม่รู้เรื่อง ดีน่ะที่สัญญาณเครื่องดักควันทำงาน ไม่งั้นป่านนี้คงไม่ได้มานั่งบันทึกอยู่นี่

เมื่อเห็นควันป้าโอ้ทไม่รีรอ ตรงไปที่ต้นเสียงสัญญาณแต่เสียงไม่หยุดดัง ทำยังไงล่ะ? ป้าโอ้ทดิ่งไปปลุกและลากตัวต้นเหตุมา ลืมตาแบบสลึมสลือ งง ๆ พอเข้าไปในครัวไม่รู้ว่ามีสติหรือยัง โบกมือปัดควันตรงเจ้าเครื่องต้นเสียงจนเสียงดับไป แล้วเดินกลับไปนอนที่โซฟาต่อ ปากบอกว่าจะกินมักกะโรนี

ป้าโอ้ทลงมือทำมักกะโรนีให้เรียบร้อย ปลุกให้ลุกมากิน ลืมตามายิ้ม ลุกมากินแบบ สลึมสลือ หลังจากอิ่มหนำป้าโอ้ทจัดการลากให้ขึ้นบ้านแบบดุ ๆ ด้วย ยังมาถามอีกนะว่า "What did I do?"
ทุกอย่างสงบ ป้าโอ้ทนอนไม่หลับทั้งที่ง่วง แต่ตัวก่อเหตุนะ กรน คร๊อกๆ  สนั่นบ้านตามปกติ ตอนเช้าป้าโอ้ทไปส่งนก(เพื่อนที่พักด้วย)ไปทำงาน กลับมาปลุกมิสเตอร์ตอนบ่าย

เมื่อมิสเตอร์จัดการอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อย ป้าโอ้ทเล่าถึงเหตุการณ์เมื่อคืน มิสเตอร์จำไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น จำได้แต่เห็นนกลงมา แล้วก็ยิ้มแหย ๆ  โอ้ทถามว่าบ้านมีประกันไหม (มี) แต่ไม่ได้ห่วงบ้านหรอก ห่วงคนมากกว่า ป้าโอ้ทบอกไปว่า ต่อนี้ไปไม่ไว้ใจให้อยู่บ้านคนเดียวแน่ ๆ ไปไหนไปด้วยกัน ตั้งใจจะไปบ้านเพื่อนสักอาทิตย์เลยไม่ไปแล้วคนเดียว ไปไหนไปด้วยกัน ปลอดภัยกว่า ได้เห็นกัน ถึงจะเมาก็อยู่ด้วยกัน นึกถึงแล้วยังกลัวอยู่เลย

ถ้าใครไม่มีเครื่องเตือนไฟไหม้ จับสัญญาณควัน หรือตัดไฟช้อตก็ไปจัดหามาซะ เป็นประโยชน์จริง ๆ จากประสบการณ์หมาด ๆ


งานแรกในอเมริกา วันแรก

วันพุธ 13 พฤษภาคม 2552

ขอเกริ่นที่มาของงานเล็กน้อย เนื่องจากเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาไปส่งนกที่ทำงานตามปรกติ (งานร้านอาหารไทย) แต่วันนั้นเจอคนเช็ดกระจกที่นั้นด้วย นกบอกว่ารายได้ดีน่ะ  ไม่คิดอะไรเลยโอ้ทเดินเข้าไปหาคนเช็ดกระจกแค่นึกคุยเล่นๆ

โอ้ท: อยากทำงานแบบนี้บ้างต้องทำยังไง
คนเช็ดกระจก : เอาซิ พาร์ทไทม์หรือฟูลไทม์ล่ะ

โอ้ท:อะไรก็ได้

 เขาให้ทำพาร์ทไทม์ และคุยกันเรื่องรายละเอียดเล็กน้อย ค่าจ้าง วันทำงานคร่าวๆ แล้วนัดว่าสัปดาห์หน้าจะติดต่อนัดกันอีกครั้ง

 ทุกวันทำงานให้ขับรถไปที่บ้านเขาจอดไว้แล้วไปด้วยกันกับเขา โชคดีอีกต่อเขาอยู่ห่างจากบ้านแค่10นาทีเท่านั้นเอง ที่สำคัญเขาสอนภาษาอังกฤษให้ด้วย..อิอิ ได้ตังค์ แถมได้ฝึกภาษาไปในตัว

วันนี้ เริ่มงาน ไปถึงบ้านเขา 9.30 ออกเดินทางกันเลย ไปไหนบ้างบอกไม่ถูกเพราะไม่รู้จักชื่อสถานที่ เป็นละแวกใกล้ๆ นี่ล่ะ แต่โอ้ทยังไม่รู้จักเส้นทางเลยจำอะไรไม่ได้

แต่ละที่กระจกไม่ได้ใหญ่โต และเยอะ บางที่ 2-3บาน บางที่ 10 บาน แต่เล็กๆ บางร้านเข้าไปเช็ดตู้แช่ ถ้าเป็นร้านที่ไทยก็จะให้พนักงานในร้านทำเอง แต่ที่นี่ทุกอย่างจะเป็นธุระกิจมีบริการหมด เล็กๆ น้อยๆ ก็จ้างบริษัทฯ ที่บริการสิ่งนั้นๆ ไป

การเช็ดเริ่มจากเอาแปรงเป็นไม้ถูถอดด้ามได้จุ่มน้ำแชมพูซึ่งเขาผสมมาเรียบร้อยแล้ว เอาไปป้ายๆทั่วๆหน้าต่างที่จะเช็ด แล้วปาดออกด้วยไม้ยางเหมือนที่ปาดน้ำกระจกรถ ถ้ากระจกสูงเกินเอื้อมจะต่อด้าม วันนี้จะเกร็งๆเล็กน้อยเพราะต้องทำตามวิธีที่เขาทำอยู่แล้ว แนวปาดก็ต้องเหมือนเขา วันนี้ทั้งวัน 13 ร้าน เสร็จงาน บ่าย 3 โมง วันแรกนายจ้างเลี้ยงมื้อกลางวัน โอ้ทเกรงใจจะจ่ายเอง เขาบอกว่าไม่เป็นไร เราเป็นคนดีน่ะ...อิอิ  แหม!วันนี้กินฟรี แล้วได้ตังค์ด้วยน่ะเลยเกรงใจ งานก็ไม่ยาก เวลาส่วนใหญ่อยู่บนรถซะครึ่งแต่ได้ค่าจ้างเต็ม ตกลงกันว่าช่วงฝึกงานจะไม่ได้เต็ม ทำสัปดาห์ละ 2 วัน เพราะเขาจ่ายได้เท่านี้ โอ้ทเสนอไปว่า ทำได้ 4 วัน เขาบอก ไอจ่ายไม่ไหวจ่ะ
เสร็จงานก็ขับรถกลับมาเอารถที่บ้านเขา

เป็นประสบการณ์อีกแบบ และเป็นงานแรกที่ทำใช้แรงงาน ก็ดีเหมือนกันฝึกตัวเอง ให้อดทน แบบนี้ล่ะที่ได้ยินมาว่าอยู่ต่างประเทศอะไรๆ ก็ต้องทำ ไม่เคยก็จะเคย ดีตรงที่คนที่นี่เขามองเห็นความเป็นคนเท่าเทียมกัน ไม่ได้มองว่างานต่ำ งานสูง ไม่แบ่งชั้น (อาจจะมีบ้างแต่ยังไม่เห็น)

เหนื่อยนิดหน่อยแต่ก็สนุกดี


ทำงานวันที่สอง...เจ็บมือแล้ว

14 พฤษภาคม 2552

เพิ่งกลับมาสักแป้บ วันนี้ไปมากี่ที่จำไม่ได้แต่กระจกบานใหญ่ และ เยอะกว่าเมื่อวาน สูงสุดเอื้อมต้องต่อด้าม ตอนลากด้ามเช็ดกระจกต้องกำแน่น ๆ เพราะจะเป๋ไปมาทำให้เป็นคราบน้ำนี่ละเจ็บมือเอาเรื่องเหมือนกัน

วันนี้รู้สึกว่าทำช้า หงุดหงิดมาก ๆ ทำไม่ได้ดั่งใจ ยิ่งตอนนายจ้างมาบอกให้ทำแบบนี้นะ ต้องวางแปรงอย่างนี้น่ะ ยิ่งหงุดหงิดใหญ่เพราะเราพยายามหาวิธี และท่าที่จับให้ถนัดมือ นึกถึงเงินแล้วต้องอดทน

 วันนี้ก็ยังไม่ได้ค่าจ้างเต็มเพราะยังทำช้าอยู่ แต่เมื่อเทียบกับงานที่ทำที่กรุงเทพฯ ถึงแม้ไม่ใช่งานใช้แรงแบบนี้แต่รายได้ที่นี่เยอะกว่า 2 วันนี้ทำวันละ 5ชั่วโมงได้ค่าจ้างประมาณ 850 บาท คิดอัตราที่ตกลงไว้ถ้าทำคล่องแล้วจะได้ราว 1360 บาทต่อวันที่ทำงาน พรุ่งนี้ไปทำอีกวันถือเป็นกำไรไปเพราะจริงๆแล้วทำแค่ 2 วันต่อสัปดาห์ นายจ้างบอกว่าถ้าอยากจะมาฝึกอีกก็ได้ แต่ทำแค่ครึ่งวันเท่านั้น ได้นิด ๆ หน่อย ๆ ก็เอาล่ะ

ทำงานนี้ชอบตรงที่ได้ไปหลาย ๆ ที่ ส่วนใหญ่จะเป็นศูนย์การค้า เช็ดร้านอาหาร ร้านขายของต่าง ๆ วันนี้ไปที่เรียกว่า เฮกคินเสน คอร์เนอร์ (Heckinsen corner) ชอบเพราะร้านจะเป็นไม้ทุกร้าน เราไปเช็ดร้านชุดแต่งงาน เช็ดลำบากเล็กน้อยเพราะกระจกบานใหญ่ แถมต้นไม้อยู่ตรงกระจกด้วยเกะกะเวลาเช็ด

ตอนเช้าเช็ดร้านเสริมสวยกับร้านสปาร้านใหญ่เชียวแหละ ดูดี แต่สปาไม่เหมือนบ้านเราเพราะเขาไม่ทำเป็นบรรยากาศป่า เดาว่าอาจเป็นเพราะกฎหมายกำหนดรูปแบบสิ่งปลูกสร้าง ที่นี่ไม่สวย บรรยากาศไม่น่าเข้า กระจกบานสูง ๆ ทุกบาน ใช้ต่อด้ามไม่ถนัดเลยจริง ๆ

 ส่วนอีกที่เป็นบริษัทการเงิน ที่นี่กระจกไม่ใหญ่ แต่ก็สุดเอื้อมเหมือนกัน ที่สำคัญหลายบานจนจำไม่ได้ว่าต้องเช็ดสุดท้ายที่บานไหน แต่ก็ไม่หยุดเช็ด รอจนนายจ้างมาดีหน่อยที่ไม่ได้ทำเกิน นายจ้างเขาไปทำที่อื่นมา 4 ที่กระจกน้อยกว่าที่บริษัทนี้ กลับมาเรายังทำไม่เสร็จเลย ไม่รู้ว่าเขาจะคิดว่าเราช้าหรือเปล่า แต่ก็ชม(ให้กำลังใจ)ตลอดว่าทำดีขึ้น เร็วขึ้น แต่ยังไม่ดีพอน่ะ วันนี้ได้เช็ดร้านที่อยู่ติดกันเกือบหมด

มีร้านซ่อมเสื้อผ้า 2 ร้าน เห็นแล้วอยากทำบ้างจัง แต่เขาจะเปิดคู่กับซักแห้ง

สุดท้ายไปร้านบุฟเฟต์อินเดียใกล้บ้าน ร้านนี้นายจ้างบอกว่าเขาให้กินฟรี ไปถึงใกล้เวลาเบรคมื้อกลางวันเราเลยขอกินก่อนทำงาน...อิอิ โอ้ทกินไม่เยอะเพราะไม่ชอบอาหารอินเดีย แต่นายจ้างชอบมาก ตักเบิ้ล

วันนี้นายจ้างสอนภาษาอังกฤษหลายคำให้ออกเสียงให้ถูกต้อง ยากจริง ๆ สำเนียงนายจ้าง กะ ดารินก็ไม่เหมือนกันด้วย

ผ่านไปอีกวัน พรุ่งนี้ว่ากันใหม่

จอดรถเรียบร้อยแล้ว พร้อมไปทำงานกันล่ะ



กลับมาบ้านแล้วจ้า เหนื่อยนิดหน่อย แต่เจ็บมือจัง

ทำงานวันที่สาม

15 พฤษภาคม 2552

ตอนคุยกับนายจ้างบอกจะให้ทำแค่สัปดาห์ละ 2 วัน แต่สัปดาห์นี้ได้ทำ 2 วันครึ่ง เพราะวันนี้ทำแค่ครึ่งวันเสร็จ ไปประมาณ 9 ร้านมั้ง ไม่แน่ใจ วันนี้นายจ้างบอกว่าทำเร็วขึ้นแล้วน่ะแต่ยังไม่เร็วเท่าที่ควร วันนี้ทำงาน 3 ชั่วโมง ได้มา $15 ยังคงเป็นอัตราฝึกงานอยู่จนกว่าจะเป็นที่พอใจ ถ้าบอกตามความรู้สึก ทำไม่สะอาดเลยเพราะเน้นเร็ว แถมร้านที่ไปตามขอบกระจกจะมีฝุ่นเยอะมากๆ แต่เรามีหน้าที่เช็ดกระจกเท่านั้นจะทำเกินไม่ได้ วันแรก ๆ เอาผ้าเช็ดน้ำเปียก นายจ้างบอกทำไมเปียกได้ล่ะ เอาไว้ป้ายหยดน้ำเท่านั้นอย่าให้ชายผ้าไปโดนน้ำซิ การจับแปรงกับยางปาดน้ำ ก็ต้องจับตามวิธีของนายจ้าง ซึ่งไม่ถนัดเอาซะเลย ถึงทำให้ช้าอยู่แต่ก็ต้องพยายามปรับให้ได้ไม่งั้นไม่ได้อัตราที่ตกลงกันซะที ขาดทุนเรา วันนี้ทำเสร็จแล้วถือโอกาสตอนนายจ้างเข้าไปรอรับค่าเสียหาย ได้ถ่ายรูปมาให้ดูนิดหน่อย

ร้านที่นี่จะเป็นลักษณะนี้ทั้งหมด จะไปตามศูนย์การค้า จะมีอาคารเตี้ย ๆ อยู่รอบ ๆ บางที่เป็นตัวยู บางที่เป็นสี่เหลียม แล้วแต่ว่าศูนย์การค้าจะมีพื้นที่ใหญ่ เล็ก บางร้านกระจกทั้งใหญ่ ทั้งสูงสุดเอื้อมต้องต่อด้ามแล้วกำแน่น ถึงได้เจ็บมือ ทำนานไปคาดว่าจะคุ้นเคยกับอุปกรณ์มากขึ้นก็จะคล่องขึ้น


เสร็จงาน กินข้าว(วันนี้ทำข้าวเหนียว ไก่ทอดใส่กล่องไปกิน อาหย่อย) เสร็จแล้วเลยไปสตูดิโอปั้นต่อนิดหน่อย ก่อนเข้าบ้าน












ทำงานวันที่สี่...หนาว

16 พฤษภาคม 2552

วันนี้อากาศเย็นอีกแล้ว 50 ฟาเรนไฮต์ ไม่อยากใส่เสื้อโค้ทไปทำงานเพราะเกะกะ ใส่เสื้อคลุมแขนยาวไปก็ไม่อุ่นพอ งั้นใส่เสื้อยืดแขนยาวแล้วลองออกไปยืนข้างนอกดูว่าพอไหวป่าว..บรื๋อออ ม่ายยยยยยยยยยหวายยยยยยยยยยยย หนาวววว  ใส่ลองจอห์นอีกตัวละกัน เอาล่ะพอไหว ออกเดินทางได้แล้ว วันนี้ไปแถวที่นกทำงานอยู่ ร้านแรก เบอร์เกอร์คิงส์ กระจกรอบร้านเลย สูงด้วยต้องต่อด้ามอีก แต่วันนี้ไม่มีปัญหาในการจับด้ามแต่หัวยางปาดน้ำซิ ไม่ได้ดังใจเลยเพราะนายจ้างให้ลองใช้อีกอันยางมันไม่ปาดน้ำหมด หงุดหงิดเล็กน้อย ต้องปาดซ้ำ 2-3 ครั้ง แถมวันนี้ลมพัดด้วยเย็นชะมัด ทำเสร็จมือแข็งเลย โอย

ร้านที่สองเป็นอู่ซ่อมรถ กระจกไม่เยอะ แต่บานใหญ่ ไม่เท่าไร แต่ไม่ดีตรงที่กระจกบานใหญ่ตีกรอบย่อยอีก 12 ช่อง สูงมาก นายจ้างตัวสูงยังต้องใช้ด้ามพิเศษ นายจ้างจะเช็ดแถวที่สูงสุดเอื้อมก่อน 3 แถว ส่วน 2 แถวล่างโอ้ทจัดการได้ ปกติจะทำแต่ละร้านไม่เกิน 30 นาที แต่อยู่ที่อู่นี้นานกว่าปรกติเพราะเสียเวลากระจกบานใหญ่ที่แบ่งเป็นช่องย่อย ๆ นี่ล่ะ

วันนี้ไปไม่กี่ร้าน นายจ้างบอกว่าพอแล้วสำหรับวันนี้ ดูนาฬิกาเพิ่งจะ 13.30 อ้าว เลิกแล้วเหรอ นายจ้างบอกว่าแต่ละวันไม่เหมือนกัน วันนี้ได้ขึ้นค่าจ้างอีก $1(ประมาณ35บาทต่อชั่วโมง) วันนี้ทำ3 ชั่วโมงครึ่งได้มา $21 (ประมาณ 700 กว่า ๆ) รออีกหน่อยได้เต็มอัตรา จะมีเก็บมากขึ้นอีกนิด นึกถึงเงินไว้แล้วทำได้เรื่อยๆ ประกอบกับนายจ้างใจดี คุยกันเข้าใจ แถมสอนภาษาให้ด้วย ทำงานนี้ได้เงิน ภาษาพัฒนาอีกต่างหาก

เสียดายลืมเอากล้องไปเลยไม่มีรูปร้านที่ทำมาให้ดู ไว้คราวหน้านะจ่ะ