Life is short then do what brings happiness to life.ชีวิตเราสั้น อะไรทำแล้วมีความสุข ก็ทำไป

เรื่องราวที่เขียนในบล๊อกเป็นประสบการณ์ และชิวิตประจำวันของโอ้ทเอง เขียนไว้เป็นบันทึก เก็บไว้อ่านย้อนหลังเมื่อวันเวลาผ่านไป ซึ่งเอากลับมาไม่ได้ หากสิ่งที่เขียนเป็นประโยชน์กับบางคน หรือหลายคนด้วยก็ดีใจ ขอบคุณผู้อ่านทุกคนค่ะ

Tuesday, December 14, 2010

ขึ้นรถเมล์ครั้งแรกในอเมริกา

อ่านประสบการณ์ของหนู (เพื่อนอยู่อลาสก้า) แล้วนึกถึงตัวเอง เอามาเล่าบ้างดีกว่า แต่โอ้ทจะต่างกับหนูตรงที่เมืองนี้เล็ก ผู้คนใจดี ขึ้นรถเมล์ทุกครั้ง ถามคนขับได้ตลอด คนขับก็ใจดี...ยกมาจากบล๊อกโอ้ททั้งบล๊อกเลยก็แล้วกันง่ายดี ใครเคยอ่านแล้วคงจำได้ ใครยังไม่เคยอ่านก็จะได้อ่านใหม่😁
ภาพด้านล่าง ขับรถดูบ้าน ในหมู่บ้านที่อาศัยอยู่





วันพฤหัสบดี มิถุนายน 2551

วันนี้ไปลองขึ้นรถเมล์กับนก(เพื่อนที่อยู่ด้วยกัน) สาย 65 เป็นสายที่ผ่านสถานีรถไฟไปฟิลาเดลเฟียที่นกต้องไปโรงเรียน ออกจากบ้านประมาณ 10 โมงเช้า เพราะคิดว่าตอนเช้ารถน่าจะเต็ม ไม่สะดวกแน่ ๆ เดินออกจากหมู่บ้าน อากาศเย็นเล็กน้อย ไปถึงป้ายรถหน้าซุปเปอร์มาร์เก็ต นกถามคนที่ป้ายเพื่อความแน่ใจว่าสาย 65 ไปสถานีรถไฟได้ไหมได้คำตอบมา พร้อมกับค่ารถ 3 เหรียญ แต่คนที่ถามเขาไปสายอื่น มีอีกคนยังอยู่โอ้ทเข้าไปถามเขาว่าเวลาจ่ายเงินหยอดลงกล่องใส่แบงก์ได้ไหม เพราะเหรียญไม่พอ ได้คำตอบมาว่าได้ และแล้วนาทีที่รอคอยก็มาถึง รถมาแล้วจ้า โชคดีจังผู้ชายคนที่ถามเขาเมื่อกี้ไปสายเดียวกัน นกก็บอกไปว่า
"I will follow you" 😊
ศาลารถเมล์ที่สถานีรถไฟแถวบ้าน ตรงที่เพื่อนยืนคือตู้ขายตั๋ว
ภายในรถบริการพาไปสถานีรถไฟอีกที่ ไม่เสียเงินเพิ่ม
ตั๋วรถไฟ


ขึ้นไปเขาจ่ายเงินเสร็จ นกก็จ่ายแบงก์ คนขับคงถามว่าเราจะไปไหน ไม่ทันตอบ ผู้ชายคนที่มาก่อนตอบแทนให้ ว้าว!!!ดีจังเลย บอกคนขับไปว่าแค่อยากสำรวจเส้นทาง และเอาตารางรถไฟ ไม่ได้จะขึ้นรถไฟ 
คงเพราะจ่ายไป 6 เหรียญ ได้ตั๋ววันมา สามารถเดินทางได้ถึงเที่ยงคืน รถเมล์สายไหนก็ได้ แต่ถ้าจ่ายเป็นเที่ยว 1.15 ดอลล่าร์ ซึ่งคิดแล้วแพงกว่า ขึ้นไปนั่ง ก็เริ่มสนทนา มีป้าผิวดำอยู่ก่อน ก็คุยกัน สอบถามว่าเราเป็นนักเรียนหรือ เรียนอะไร จำที่อยู่ได้ไหม จะไปไหน.....ฯลฯ ตอบไปว่าจะไปเรียนที่ฟิลาเดลเฟีย เพิ่งมาได้ 2 สัปดาห์ เป็นครั้งแรกที่ขึ้นรถเมล์ ต้องการลองก่อนไปจริง คุณป้า ผู้ชายคนเดิม และคนขับก็น่ารัก ช่วยแนะนำ แถมคนขับให้ตารางเดินรถมาด้วย พอถึงสถานีรถไฟ คนขับจอดแล้วยังบอกให้ผู้ชายคนก่อนลงไปเอาตารางรถไฟให้อีก เรา 2 คนก็เดินตามเขาลงไป โอ้!! ใจดีกันทุกคนเลย ประทับใจมากๆ เพราะตอนแรกคิดว่าผู้ชายคนนี้จะลง แล้วก็กลับขึ้นรถ นั่งไปจนคนลง คนขึ้น จนสุดสาย คุยกับคนขับเล็กน้อย ว่าเคยไปหลายที่แล้ว แต่จำทางไม่ได้ ไม่เคยนั่งรถเมล์ด้วย คนขับบอกว่าไม่ต้องกังวล พวกเราไม่เป็นอะไรแน่ๆ แล้วจะไปลงตรงที่ขึ้นมาใช่ไหม คำตอบคือ ใช่แน่นอนอยู่แล้ว จากนั้นก็มีคนขึ้นมาเรื่อยๆ แต่ก็ไม่เต็ม โอ้ทถามไปว่าช่วงเช้าคนจะเยอะไหม คำตอบคือไม่เลย และแล้ว รถก็วนเวียนจนมาจอดที่ป้ายแรกที่ขึ้นกันหน้าซุปเปอร์มาร์เก็ต แบบขับวนเพราะถนนเส้นที่โอ้ทขึ้นมาไม่มีป้ายรถฝั่งตรงข้าม คนขับรถเริ่มทำงาน ตี5 ถึงบ่ายโมงครึ่ง จะวนอยู่ราว 8-10 รอบ
ในหมู่บ้านระหว่างเดินออกไปถนนใหญ่

ป้ายรถเมล์หน้าหมู่บ้าน เดินมาจากหน้าหมู่บ้านนิดหน่อย




อ่อ อีกนิด ได้ข้อมูลมาว่าถ้าซื้อตั๋วรถไฟชนิดที่ใช้กับรถเมล์ได้ด้วยจะประหยัดมากเพราะจ่ายครั้งเดียวนั่งได้ทั้งรถเมล์และรถไฟ จะมีเป็นสัปดาห์ และ เดือน และแล้วภาระกิจวันนี้ก็ผ่านไปด้วยดี กลับถึงบ้านราว บ่ายโมง เตรียมทำกับข้าวได้ ....ไม่อยากอย่างที่คิด ผู้คนก็ใจดี ไม่เหมือนที่เคยได้ยินมา หรืออาจเป็นเพราะเมืองเล็กก็ไม่รู้😺

2 comments:

  1. แถวนั้นมีคนบ้าเป็นผู้โดยสารขึ้นรถเมล์บ้างป่าว แถวๆSalt Lake City,Ut โดยเฉพาะในตัวเมืองทั้งคนบ้าและคนสาระพัดแบบน่ากลัว ตรึมเลย!!!!! และนี่คือประสบการณ์นั่งรถเมล์มาประมาณ2ปีเต็มๆจากปี2004ถึง2006 จากนั้นพอได้บัตรเขียวก็เริ่มเรียนขับรถทันที สาเหตุที่รอจนถึง2ปีเพราะวีซ่าแต่งงานจากเมืองไทยต้องรอจนได้บัตรเขียวก่อน (เสียเงินน้อยหน่อย)

    ReplyDelete
  2. มดพี่นั่งรถเมล์ไม่กี่ครั้งแต่ก็เจอคนบ้า(มั้ง) น่ากลัวๆๆๆ พี่จดทะเบียนมาจากไทยเหมือนกันแต่รอที่ไทยปีครึ่ง ได้สัมภาษณ์ตอนครบสองปีพอดี มานี้ได้ 10 ปีเลย เดือนเดียวได้กรีนการ์ดพี่ก็ทำใบขับขี่แล้ว ได้ใบขับขี่เมื่อมกราคมปี 2009 (มามิ.ย 2008) ก็ไม่เคยนั่งรถเมล์อีกเลย

    ReplyDelete

ขอบคุณมิตรภาพ และความคิดถึงที่เอามาฝากไว้ที่นี่ค่ะ

Thank you for visiting.