Life is short then do what brings happiness to life.ชีวิตเราสั้น อะไรทำแล้วมีความสุข ก็ทำไป

เรื่องราวที่เขียนในบล๊อกเป็นประสบการณ์ และชิวิตประจำวันของโอ้ทเอง เขียนไว้เป็นบันทึก เก็บไว้อ่านย้อนหลังเมื่อวันเวลาผ่านไป ซึ่งเอากลับมาไม่ได้ หากสิ่งที่เขียนเป็นประโยชน์กับบางคน หรือหลายคนด้วยก็ดีใจ ขอบคุณผู้อ่านทุกคนค่ะ

Saturday, August 25, 2007

สามีอิมพอร์ต รู้จักมิสเตอร์ได้ยังไง



ที่มา...

ย้อนไปประมาณ 11 ปี(นับจากวันที่ด้านบนนะคะ Aug 25, 2007)

จำความได้เริ่มเล่นอินเตอร์เนต และหัดแชท เมื่อเพื่อนน้องสาว เอาคอมฯ มาฝากไว้ที่บ้าน ก็ไม่ได้คิดว่าจะต้องหาแฟนต่างชาติ แต่อยากรู้ว่าไอ้แชทเนี่ยมันเป็นยังไง ปรากฎว่า ติดงอมแงมเลยค่ะ วันไหนไม่ได้เล่นนอนไม่หลับค่ะ แรกๆ ก็หัดเล่นห้องคนไทย คุยนานเข้ารู้สึก เฮ้อ!! ไร้สาระ ไม่สร้างสรรค์เลย ก็อยากแชทภาษาอังกฤษบ้าง...ทันสมัย

ก่อนอื่นก็เข้าไปห้องภาษาอังกฤษ แต่เอะทำไม แชทภาษาไทยกันทุกคนเลย แล้วก็เบื่ออีก (หลายเดือนอยู่ค่ะ) จากนั้นมารู้จัก ยาฮู แมสเซ็นเจอร์ เอ!! เขาเล่นกันยังไงน๊า? ลองดู เริ่มจากเข้าไปนั่งดูต่างชาติคุยกันเนื่องจากไม่มั่นใจภาษาตัวเอง ได้อาทิตย์นีง ก็เอาน่า เป็นไงเป็นกัน ก็คุย....แรกๆ โอ้ย สารพัด ฝรั่ง ลามกกกกกกกกกกกกกก.........กลัวจนหายกลัว ด่าไม่เป็นจน ด่าเป็นภาษาอังกฤษเลย...5555 มันคงซึมซับเข้ามาโดยไม่รู้ตัว

ก็คุยอยู่ประมาณ 1 ปีค่ะ มีหลายชาติ เสนอตัวจะเป็นแฟนเรา แต่สุดท้ายพอเช็คทางโทรศัพท์ (มีผู้แนะนำที่ดีว่าต้องทำอย่างไรก็ต่างชาติอีกนั่นแหละ) มีภรรเมียแล้วทั้งนั้น บางคนคุยกันสักระยะพอประมาณ (หลายเดือน) ก็เริ่มคุยเรื่องมาหาเราผลที่ได้คือ หายยยยยยยยยยยยยยยย จ๋อยจ้า...

จนกระทั่งเจอคนจริง (ยังมะใช่สามีสุดรักค่ะ....ใจเย็นๆ เอาไว้ลุ้น) ก็คุยกันทุกคืน หลังเลิกเรียนน่ะ ตอนนั้นเรียนรามฯ

ครบ 1 ปี เขาก็มา....คนนี้มา 2 ครั้ง (2 ปี) จนกระทั่ง.....



จดหมายใครส่งมาจากต่างประเทศ?

ช่วงเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน 2547(2004)......เย็นวันหนี่งเมื่อกลับถึงบ้านจากมหาวิทยาลัย มีจดหมายจากต่างประเทศถึง Miss Pavinee Sirikhanth เอาละหว่า ใครว่ะ? รู้สึกแปลกประหลาดจริง ๆ น่ะคะ เพราะ ตอนนั้นเรามีแฟนแล้ว และก็ไม่เคยให้ที่อยู่ หรือเบอร์โทรใครเลย ที่แชททุกคนก็ไม่เคย แล้วมาได้ไงเนี่ย ดังนั้นไม่รอช้าเปิดผนึก....

อุแม่เจ้า หนุ่มหล่อ ส่งจดหมายมา บอกว่าอยากเป็นแฟนเรา พร้อมรูปถ่าย 3 ใบ จากจดหมาย ทำให้นึกได้ทันทีว่าที่มาอย่างไร .......

เนื่องจากว่า ชอบเข้าไปอ่านเรื่องราว สาวไทย พบรักต่างชาติในเวบแม่สื่อต่าง ๆ เลยเข้าไปสมัครไว้ทั่ว จนจำไม่ได้ว่าที่ไหนบ้าง แล้วก็มาไล่ลบไป แต่ไม่รุ้ว่ามันมีเวบที่ไม่ได้ลบหลงอยู่ จนคุณสามี (ปัจจุบัน) เข้าไปเจอ รูปที่ลงก็แสนจะธรรมดา หน้าตาเด็กบ้านนอก เห็นแค่หัวด้วย ไม่เหมือนสาว ๆ ที่เขาลงประกาศสมัยนี้ สวยพริ้ง เป็นเพราะเราไม่ได้ตั้งใจเข้าไปหาแฟนน่ะ สิ แต่เพราะความอยากรู้ และ ก็ช่วยเพื่อนหาแฟน เขาบอกว่าไปเจอมาจากเวบเอเชี่ยนอะไรสักอย่าง.........จำไม่ได้ ทำไงล่ะ?

อีเมล์บอกแฟน(ในขณะนั้น) ให้รู้ว่ามีผู้ชายส่งจดหมายมาหานะ ต้องการเป็นแฟน จะให้ตอบไหม เพราะอันที่จริงเราอยากตอบน่ะ สรุปว่าไม่มีปัญหา ก็ตอบจดหมายไป (ตามอีเมล์ที่เขาให้มาในจดหมาย) ว่าเป็นได้แค่เพื่อน เพราะ มีแฟนอยู่แล้ว ก็ติดต่อกันอยู่ทางอีเมล์ทุกวัน เขาโทรมาบ้าง กระทั่ง ธันวาคม ปีนั้น แล้วมันมีเรื่องที่หักเห คงเป็นบุปเพ....อิอิ

แฟน(ในขณะนั้น) ขาดการติดต่อ มารู้อีกทีเพราะอินเตอร์เนต หรือ สายสัญญาณมีปัญหาเลยทำให้เราไม่ได้รับอีเมล์เขาเลย แม้กระทั่งเขาส่งจดหมาย แนบเงินมาให้ช่วยย้ายอพาร์ทเม้นท์ก็ไม่ได้รับ (ครั้งแรกที่ออกจากบ้านมาอยู่คนเดียว เพราะทำงานไกลน่ะ เดินทางเหนื่อย ไม่ไหว) รู้ตอนที่ติดต่อกันได้ เขาบอก....

แต่เราว่าบุปเพ เพราะ ตลอดระยะเวลา 1 เดือน ไม่เคยได้รับ อีเมล์จากแฟน แล้วก็ไม่เข้าใจว่าทำไมไม่โทรมาหาเรา ดังนั้นเราตัดสินใจว่าจะเปลี่ยนความสัมพันธ์จากเพื่อนเลื่อนตำแหน่งขึ้นมาเกือบเป็นแฟนแล้วกับหนุ่มอเมริกันสุดหล่อ จนกระทั่ง คริสมาสต์ปีนั้น แฟนติดต่อมา(จนได้) แล้วเราก็ หักอกหนุ่มอเมริกัน.....

เอาละซิ ยุ่งกันไปใหญ่....ฮ่าฮ่า


จุดหักเห.....และเริ่มต้น

เราพยายามโทรไปเพื่อจะอธิบายว่าไม่ได้ มีเจตนา แล้วอีกอย่างเราก็ยังไม่เป็นแฟนกัน แค่มากกว่าเพื่อนเท่านั้น....

หนุ่มอเมริกัน (สามีเราเองในปัจจุบัน) ไม่รับโทรศัพท์ เราก็ไม่ละ กระหน่ำอีเมล์    จนกระทั่งหนุ่มอีเมล์มาบอกว่าขอจบกันเพียงเท่านี้ พร้อมกับส่งรูปเราและของที่เราส่งไปให้ในตอนนั้นกลับมา (ออกจากเมกาแล้วน่ะ แล้วยังให้เราส่งรูปเขากลับไปด้วยนะ (น้ำตาล้นจอละซิฉากนี้)...

ส่วนทางแฟน ก็โทรศัพท์คุย จนเข้าใจกัน และในที่สุด หนุ่มอเมริกันก็รับโทรศัพท์ ในวันนี้เอง มันถึงที่สุดแล้วไง เพราะไปกระทบกับการทำงานเราด้วย หนุ่มมะกันเองก็ไม่เป็นอันทำงาน เพราะ เศร้า เราเลยตกลงกันว่า มาเริ่มต้นกันใหม่จากการเป็นเพื่อน เป็นกำลังใจให้กัน ในขณะที่แฟนเราก็ไม่เคยบอก หรือแสดงว่าจะ มีความมั่นคงให้กับเราในอนาคต.....

เฮ้อ!!! คิดแล้วหนักหนาเอาการ เกือบไปแล้ว...
ตอนนั้นดารินก็ติดต่อกับผู้หญิง จากเวบแม่สื่อ 2-3 คน แล้วเราก็อีเมล์หากันทุกวันนับแต่นั้น ในฐานะเพื่อน ...มีเซอร์ไพรส์อีกแล้ว วันวาเลนไทน์มีบริษัทดอกไม้โทรมาว่ามีคนส่งมาให้จากต่างประเทศ...

เอาละซิจากคนไหนล่ะ ถามใคร ก็ไม่มีใครบอก...แฟนเราเอง (ในขณะนั้น) เป็นคนส่งมา

เราก็ยังคุยกะดารินทางอีเมลุทุกวัน ในขณะที่ แฟนเราก็รู้ จนกระทั่งแฟนเรามาเดือน เมษายน 2548( 2005) เป็นครั้งสุดท้าย เพราะเรารู้มาว่าเขาแต่งงานแล้ว อยู่ด้วยกันที่ประเทศเขา มา 10 กว่าปี...

เศร้ามาก เราถามดารินว่าจะมารู้จักกันไหมแบบตัวเป็นๆ โดยไม่เจาะจงว่าในสถานะอะไรทั้งสิ้น? เพราะถ้าไม่มาฉันจะหาใหม่แล้วนะ (มีขู่...555) แล้วดารินก็มา 18 -24 กรกฎาคม 2548...

ลุ้นกันต่อนะค่ะ ขอยก บางส่วนจากอีเมล์ที่ดารินส่ง มาให้หมั่นไส้กันค่ะ เพราะถ้าเอามาทั้งหมดคงยาวเกินไปเพราะเขียนมาครั้งละ 1-2 หน้า เมล์นี้ก็ หน้าครึ่ง แต่ตัดมาเฉพาะเด็ดๆ จ้า...อิอิ

 From: Peterson
 Sent: Wednesday, December 15, 2004 11:25:48 AM
 To: oathka

 to my love, Pavinee‎
I just got done speaking with you on the phone at this point in the letter. I just wanted to let you know that only you have my love. I just wish I was there to show you. It is no good to only say you love a person and not show love. A person must show love too.Do you think we could sit down with your parents in April and talk about a wedding ceremony?

 Love,Darin




 วันที่รอคอย...ความจริงที่จับต้องได้

เย็นวันที่ 18 กรกฎาคม 2548 เลิกงานก็รีบกลับไปอาบน้ำ เตรียมตัวไปรับหนุ่มที่สนามบินดอนเมือง ตื่นเต้นค่ะ ...เอ!! แต่งตัวยังไงดีน๊า? ก่อนจะมาถามดารินไว้ว่าชอบให้ใส่กระโปรงจะดูเป็นผู้หญิงหวานแต่ถ้าอยากแต่งตัวยังไงก็ตามใจ เลยเลือกชุดกระโปรงยาวแขนกุดสีน้ำเงิน ออกเรียบร้อยค่ะเพราะตอนนั้นยังไม่แต่งเซ็กซี่ เพิ่งจะมาแต่งหลังจากแต่งงานแล้วนี่แหละค่ะเพราะก่อนหน้าจะออกทอม ๆ แล้วก็ปอน ๆ

เครื่องลง ห้าทุ่มกว่า ๆ ไปถึงก่อน ชั่วโมง ตอนนั้นไม่มีรถค่ะเลยใช้บริการแท๊กซี่ แวะกินข้าวก่อน หิวมากเลย แล้วตั้งใจว่าจะซื้อพวงมาลัยมะลิหอม ๆไ ปให้ด้วย แต่ตลาดที่ดอนเมืองตอนนั้นไม่มีขายแล้วก็เลยไม่ได้อะไรเลย กินเสร็จก็เดินข้ามสะพานลอยไปด้วยความตื่นเต้นสุด ๆ แต่เพราะไปถึงเร็วน่ะค่ะเลยมีเวลาเดินสำรวจสนามบิน ไปมา ใน-นอกประเทศ จนเหนื่อย (จริงๆแล้วไปผิดอาคารค่ะ) ...จ๊าก

แล้วก็ไปตรวจดูให้แน่ว่าเครื่องลงอาคารไหนแน่ และแล้วก็ถึงเวลาเครื่องลง ใจเต้นตุ๊บ ๆ เลย คนก็ออกมากันเยอะ ๆ แต่เอ นี่ก็ใกล้จะตีหนี่งแล้วทำไมหนุ่มเรายังไม่ออกมาซะที ทำไงดีเนี่ย โทรศัพท์ก็ไม่เห็นมีสายเข้ามา ชักหงุดหงิดแล้ว เป็นห่วงด้วยว่าจะติดอะไรข้างในหรือเปล่า เลยตัดสินใจโทรไป ว้าว!! รับสายอย่างเร็วด่วนเลย ปรากฎว่ารอตรวจคนเข้าเมืองนาน แล้วก็แลกเงินอยู่ด้านใน เขาโทรมาแล้วแต่ไม่รู้ว่าในประเทศไทยไม่ต้องโทรเหมือนอยู่ต่างประเทศ (เราก็ไม่รู้) และแล้วเวลาสำคัญก็มาถึง....

นัดกันอย่างดีน่ะว่าเรายืนรออยู่ตรงมุมไหน ก็ยังเดินผ่านไปเฉยเลย แต่แว่บแรกที่เห็น โอ้ะ โอ...ทำไมน่ารักจัง

เมื่อก่อนยังผอมอยู่ค่ะ หน้าก็ใส เราเดินไปสะกิดแขนน่ะ เหงื่อท่วม มีผ้าขนหนูผืนเล็กติดตัวตลอดเวลา จนทุกวันนี้ ก็รอคิวแท๊กซี่....อิอิ เราจับมือหนุ่มไปตลอดทางเลยค่ะ....

ก่อนไปโรงแรม โรยัลปริ้นเซส ที่ศรีนครินทร์ แวะเอาเสื้อผ้าที่อพาร์ทเม้นท์...
โอ้ทต้องทำงานอีก 2 วันถึงจะหยุด วันแรกก็ปล่อยให้ดารินนอนทั้งวัน วันที่ 2 บังคับค่ะ ดึงจากเตียง พาส่งขึ้นแท๊กซี่พร้อมบอกทางให้ไปเที่ยว เพราะไม่งั้นพ่อหนุ่มของโอ้ทเขาก็จะไม่ไปไหนเลยค่ะ...

แล้วเมื่อโอ้ทหยุด 1 สัปดาห์ก็พาเที่ยวค่ะ ขับรถหลงก็ไม่รู้...อิอิ
ไปสวนงู กินข้าวกับ พ่อ แม่ เดินเที่ยวหน้ารามฯ ดูหนัง...

ปีแรกจะอยู่ในกรุงเทพฯ เพราะดารินอยู่แค่ 1 สัปดาห์เนื่องจากจุดประสงค์เพื่อเจอกันตัวเป็น ๆ แล้วก็ไม่แน่ใจว่าจะ ปิ๊งกันหรือเปล่าด้วยค่ะ...

และแล้ววันเดินทางกลับก็มาถึง...
ขอเม้าท์นิดนะค่ะ ขณะที่รอเวลาได้เข้าไปกินอาหารในร้าน ร้านหนึ่งในบริเวณสนามบิน ทีนี้ตอนคิดเงินไม่ยอมเอามาทอนค่ะ ถึงแม้ 5 บาท....

โอ้ทไม่ยอมซิค่ะ เห็นมากับต่างชาติแล้วจะมางุบงิบได้ไง ต้องทอนเราก่อนซิ แล้วทิปอีกเรื่อง นี่อะไร เอาไปใส่กล่องเฉย โอ้ทก็ไปทวงที่เคาน์เตอร์ซิค่ะ ไม่ปลื้มค่ะ...
ดารินจะส่ายหน้ากะโอ้ทประจำเรื่องทิป เพราะชอบเก็บเหรียญ 10 บาทไว้หยอดเครื่องซักผ้าค่ะ อีกอย่าง คนไทยนิสัยเคยตัวต่างชาติมาทีไรต้องมีทิปประจำทั้งๆที่ในราคาก็ชาร์จไปแล้ว...
ถ้าบริการดีน่ะค่ะไม่ว่าเลย อีกอย่างชอบให้กับเด็กที่บริการมากกว่าค่ะ เพราะถ้าให้รวม คนที่ไม่ดีก็จะได้ส่วนแบ่งไปด้วย....

นอกเรื่องน่ะค่ะ เราไปถึงสนามบินก่อนเวลามาก ก็ยังไม่มีเที่ยวบินที่จะไป ทำให้ดารินเริ่มกังวลว่าเขาจะได้กลับแน่หรือเปล่า คือเด็กใหม่สำหรับการเดินทางนะค่ะ ครั้งแรกที่มาเอเชีย แล้วก็ครั้งที่ 2 ที่ออกจากเมกา (ครั้งแรกก่อนมานี่ 2 เดือนได้ไปประชุมที่อิตาลี) กังวลเยอะมาก เลยไปถามเจ้าหน้าที่ก็ได้ช่องที่ต้องเช็คอิน แต่ต้องรอเวลา ที่นี่ก็เข้าก่อนเวลา 10 นาท ปรากฎว่า มารู้เมื่อดารินถึงเมกาแล้ว ว่าเกือบตกเครื่องเพราะต้องไปตรวจคนออกเมืองก่อน วิ่งสุดชีวิตเลยค่ะ เพราะประตูเครื่องกำลังจะปิด จากนั้นก็ไม่เคยเข้ากระชั้นชิดเลยคะ.